"Subcision ตัดพังผืด คืออะไร? เจาะลึกการรักษาหลุมสิวที่ได้ผลจริง

Last updated: 31 ม.ค. 2568  |  76 จำนวนผู้เข้าชม  | 

"Subcision ตัดพังผืด คืออะไร? เจาะลึกการรักษาหลุมสิวที่ได้ผลจริง

การตัดพังผืดใต้หลุมสิว (subcision) สามารถช่วยให้หลุมสิวดีขึ้นได้ทันทีบางส่วน เนื่องจากการตัดพังผืดจะทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังมีการฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อเติมเต็มหลุมสิว
การตัดพังผืดใต้หลุมสิว (subcision) สามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือหลากหลายแบบ รวมถึงอุปกรณ์เข็มชนิต่างๆ ทั้งกลุ่มเข็มปลายทู่ (blunt cannula) หรือเข็มคม (sharp needle) ทั้งสองวิธีมีข้อดีและข้อเสียของตนเอง การเลือกใช้เข็มชนิดใดขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ผิวหนังและสภาพผิวของผู้ป่วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมก่อนการรักษา

ทั้งสองวิธีมีความแตกต่างกันดังนี้:
1. เข็มปลายทู่ (Blunt Cannula):
   - ข้อดี: เข็มทู่มีโอกาสน้อยที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเลือดออกใต้ผิวหนัง เนื่องจากปลายเข็มไม่แหลมคม ทำให้สามารถตัดพังผืดได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบๆ มากเกินไป
   - ข้อเสีย: อาจใช้เวลานานกว่า ความแม่นยำตรงจุดในการเข้าถึงบริเวณพังผืดทำได้ยากกว่า จำเป็นต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์สูงมาก และอาจจะไม่เหมาะสำหรับพังผืดที่แข็งแรงมากๆ

2. เข็มคม (Sharp Needle):
   - ข้อดี: เข็มคมสามารถตัดพังผืดที่แข็งได้ง่ายและรวดเร็ว เนื่องจากปลายเข็มแหลมคมและสามารถเจาะผ่านผิวหนัง ในจุดที่เข้าถึงพังผืดได้โดยตรง
   - ข้อเสีย: มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเลือดออกใต้ผิวหนังมากกว่า และอาจทำให้เกิดแผลเป็นหรือติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่ทำอย่างระมัดระวังหรือทำโดยผู้ที่ไม่ชำนาญพอ

การตัดพังผืดรักษาหลุมสิว: ศาสตร์ ศิลป์ และสิ่งที่คุณควรรู้ในปัจจุบัน การตัดพังผืด (Subcision) กลายเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการรักษาหลุมสิว หลายครั้งที่เรามักเห็นการโปรโมทว่า "...ต้องมีการตัดกวาดพังผืดให้ทั่วทุกชั้น ทุกอณูรูขุมขน เพื่อขจัดพังผืดออกทั้งหมด จึงจะทำให้หลุมสิวดีขึ้นได้มากที่สุดกว่าวิธีอื่นๆ..."

   แต่ในความเป็นจริงแล้ว การตัดพังผืดเป็นมากกว่าแค่การใช้เข็มกรีดผิว แต่เป็นอะไรที่ต้องการความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำเป็นอย่างสูง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและผลข้างเคียงน้อยที่สุด ศาสตร์และศิลป์ของการตัดพังผืดนั้นไม่ใช่เพียงแค่การใช้เครื่องมือตามตำราเท่านั้น แต่ต้องอาศัยการประเมินที่แม่นยำและความเข้าใจโครงสร้างผิวหนังในแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญที่พัฒนาได้จากประสบการณ์และฝีมือของแพทย์

และที่สำคัญ!!! การตัดพังผืดในทุกชั้นอย่างไร้ทิศทาง โดยไม่คำนึงถึงเส้นเอ็นหรือโครงสร้างผิวที่ช่วยพยุงใบหน้า อาจทำให้เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อยหรือแผลเป็นใหม่ที่รุนแรงกว่าตามมาได้ ดังนั้นการตัดพังผืดต้องอาศัย ศาสตร์และศิลป์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งด้านความรู้ ประสบการณ์ และการควบคุมทิศทางที่แม่นยำ

ความเสี่ยงและข้อควรระวัง

  • การเกิดพังผืดใหม่ที่แน่นกว่าเดิมหากทำโดยขาดความชำนาญ หรือมีการตัดที่ลึกและกว้างเกินไป พังผืดใหม่อาจเกิดขึ้นและดึงรั้งผิวมากกว่าเดิม
  • เกิดปัญหาแผลเป็นเนื้อยุบตัวที่ขยายขนาด กว้างขึ้นและลึกยิ่งกว่าเดิม หากตัดพังผืดอย่างไร้หลักการและใช้ความรุนแรงมากเกินไป
  • ห้อเลือดและการบาดเจ็บที่มากเกินไปหลังการตัดพังผืด อาจทำให้เกิดห้อเลือดหรือบาดแผลที่สร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้างเพิ่มเติมได้
  • ปัญหาผิวหย่อนคล้อยหากเข็มไปตัดในบริเวณที่มีเส้นเอ็นหรือโครงสร้างที่ช่วยพยุงผิว อาจทำให้ผิวหย่อนคล้อยมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากขึ้นและมีปัญหาความหย่อนคล้อยอยู่แล้ว

การตัดพังผืดที่ดีมีปัจจัยสำคัญดังนี้:

  • การประเมินโครงสร้างใบหน้า ตำแหน่งของพังผืด และชนิดหลุมสิวเฉพาะบุคคล หลุมสิวแต่ละประเภท เช่น Rolling Scar, Boxcar Scar หรือ Ice Pick Scar มีโครงสร้างพังผืดที่แตกต่างกัน การประเมินว่าควรตัดในระดับไหนและอย่างไรเป็นหัวใจสำคัญของผลลัพธ์   พังผืดในชั้นผิวมีการเรียงตัวสลับซับซ้อน และอาจเชื่อมโยงกับบางจุดที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างรองรับผิว หากตัดไม่ตรงจุดหรือเกิดการบาดเจ็บมากเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ใบหน้าหย่อนคล้อย หรือหลุมยุบตัวที่แย่ลงกว่าเดิม
  • การควบคุมแรงและทิศทางของการตัดพังผืดด้วยการใช้อุปกรณ์เข็มปลายทู่ ต้องการความแม่นยำสูงในการควบคุมแรงและทิศทางการตัด เพราะการลงน้ำหนักที่มากเกินไป อาจสร้างบาดแผลลึกและความเสียหายต่อเนื้อเยื่อโดยรอบ   การตัดในทิศทางที่เหมาะสมและคำนึงถึงส่วนของผิวข้างเคียง ยังช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและลดโอกาสการเกิดพังผืดใหม่
  • การผสมผสานเทคนิคต่างๆร่วมด้วยอย่างเหมาะสม แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญมักจะไม่ใช้เพียงแค่การตัดพังผืดเพียงอย่างเดียว แต่จะผสานเทคนิคอื่น เช่น การฉีดสารเติมเต็ม, การเติม Exosome หรือ Bio-Stimulator เข้าไปในจุดที่เคยมีพังผืดดึงรั้ง เพื่อขวางกั้นการเกิดพังผืดใหม่และช่วยให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

หลุมสิวประเภทใดบ้างที่สามารถรักษาได้ด้วยการทำ Subcision?
หมอขอท้าวความถึงประเภทของแผลเป็นจากสิวอีกครั้งก่อน ว่ามีหลายรูปแบบ ได้แก่ ice pick scars, boxcar scars, rolling scars, deep atrophic scars, hypertrophic scars, red scars, tethered scars, และ anchored scars. tethered scars, และ anchored scars เป็นแผลเป็นเนื้อยุบตัวแบบที่ถูกดึงลงด้วยพังผืดfibrotic bands ที่ยึดติดกับโครงสร้างเนื้อเยื่อชั้นลึก เช่น ชั้นเนื้อเยื่อไขมัน หรือกับพื้นผิวของกล้ามเนื้อ

หลุมสิวกลุ่มนี้สามารถตรวจได้โดยการให้ผู้ป่วยยิ้มและขยับกล้ามเนื้อแสดงสีหน้า หรือตรวจโดยการดึงผิวหนังให้ตึง(stretch test)แล้วยังคงเห็นรอยยุบตัวของหลุมสิวอยู่ หลุมสิวแบบนี้มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นด้วยการทำ Subcision ตัดพังผืดค่ะ

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า Subcision คือการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับหลุมสิวที่เป็นอยู่
การที่แพทย์สามารถระบุประเภทของหลุมสิวได้อย่างถูกต้อง และเลือกวิธีการได้อย่างเหมาะสม จะทำให้เกิดผลลัพธ์การรักษาได้ดีขึ้นมากที่สุด

การตรวจระบุประเภทหลุมสิวอย่างละเอียดถูกต้อง จำเป็นต้องตรวจร่างกายทางผิวหนังโดยตรง การตรวจส่งภาพถ่ายมาปรึกษามีข้อจำกัดหลายอย่าง สามารถประเมินอย่างคร่าวๆได้ แต่จะไม่ละเอียดชัดเจนเท่ากับการตรวจร่างกายคนไข้โดยตรงค่ะ

การจำแนกประเภทของรอยแผลเป็นจากสิวอย่างแม่นยำ ถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเลือกวิธีรักษาหลุมสิวของคนไข้แต่ละราย

Subcision เป็นหนึ่งในหัตถการที่หมอทำประจำค่ะ วิธีนี้เป็นหนึ่งในการรักษาหลุมสิวที่มีพังผืดยึดเกาะที่ดีที่สุด ส่วนวิธีอื่นๆเช่น เลเซอร์ microneedling หรือการลอกผิวด้วยสารเคมี จะไม่สามารถตัดพังผืดได้เลย

ในหลุมสิวแบบ tethered scars หลังจากทำหัตถการตัดพังผืดให้แยกกันได้แล้ว การฉีดสารเติมเต็มหรือสารกระตุ้นคอลลาเจน เข้าไปแทนที่เนื้อไขมันที่ยุบตัวฝ่อลง และเพื่อเป็นบัฟเฟอร์กั้นพังผืดไม่ให้ติดกันใหม่ เป็นอีกหัวใจสำคัญของการรักษาหลุมสิวระดับรุนแรงแบบนี้

วิธีการทำ Subcision เป็นอย่างไร?
เมื่อหมอระบุประเภทของหลุมสิวได้โดยละเอียดถูกต้องแล้ว จะทำการวิเคราะห์ลักษณะและร่างแผนภาพหลุมสิวขึ้นมาให้คนไข้เข้าใจได้ง่ายขึ้น จากนั้นวางแผนการรักษาร่วมกันกับคนไข้ เพื่อเลือกว่าวิธีรักษาให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สุด แล้วจึงเริ่มรักษาหลุมสิวได้

การทำหัตถการแพทย์ Subcision นี้ หมอจะเลือกทำในหลุมสิวแบบ tethered, rolling scars, anchored scars และ bound down scars

  • ขั้นแรก หมอจะทำการฉีดบล็อคยาชาให้ครอบคลุมบริเวณที่จะทำหัตถการนี้ก่อน จากนั้นหมอจะใช้เข็มและเครื่องมือชนิดพิเศษ เพื่อตัดทำลายพังผืดให้ขาดจากกันให้ทั่วถึงในทุกทิศทาง ในแต่ละบริเวณอาจใช้เครื่องมือและชนิดขนาดของเข็มที่แตกต่างกันไป ตามความหนาบางของผิวหนังและพังผืด    โดยทั่วไปการทำหัตถการตัดพังผืด เทคนิคเฉพาะของหมอนี้มักเห็นผลทันทีหลังทำเลยค่ะ
  • ขั้นตอนต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้พังผืดที่ตัดไปเกิดการยึดเกาะกันใหม่ หมอจะใช้สารเติมเต็มฉีดเข้าไปแทนที่ในโพรงรอยยุบตัวของหลุมสิวนั้น หลักการฉีดสารเติมเต็มนี้เพื่อเป็นบัฟเฟอร์กั้นพังผืด และยังแทนที่การสูญเสียปริมาตรเนื้อเยื่อไขมันที่ยุบตัวลง รวมทั้งยังเกิดกลไกการกระตุ้นคอลลาเจนอีลาสตินใต้ผิวได้อีกด้วย
  • หลังทำหัตถการ คนไข้สามารถประคบเย็นบริเวณที่ทำการรักษาเพื่อลดอาการบวมช้ำที่อาจเกิดขึ้นได้
การทำ Subcision ให้ผลลัพธ์ที่ถาวรหรือไม่?
ใช่ค่ะ! หากแผลเป็นหลุมสิวนั้น มีพังผืดยึดติดกับโครงสร้างชั้นลึกใต้ผิว การตัดพังผืดนี้จะให้เกิดผลในทันทีและถาวร (หากไม่มีการกลับมายึดเกาะกันใหม่ หรือเกิดแผลขึ้นมาใหม่)

ในกรณีของหลุมสิว ที่มีการยุบตัวฝ่อลงของเนื้อเยื่อชั้นไขมันด้วย ซึ่งจำเป็นต้องฉีดสารเติมเต็มเข้าไปแทนที่ เมื่อเวลาผ่านไปสารเติมเต็มนี้จะถูกสลายไปได้ตามกาลเวลา แต่ในขณะเดียวกัน การ Subcisionตัดพังผืดนี้ ร่วมกับอีกคุณสมบัติของสารเติมเต็มที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้ด้วย จะไปกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างเส้นใยคอลลาเจนอิลาสตินขึ้นมาใหม่ ถือเป็นผลที่ได้อย่างถาวร อย่างไรก็ตามคอลลาเจนที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นกับยีนที่กำหนดในแต่ละบุคคลด้วย
 

หลุมสิวจะดีขึ้นมากน้อยแค่ไหนหลังทำ Subcision?
การทำ Subcision ผ่าตัดพังผืด ร่วมกับการฉีดสารเติมเต็ม เป็นหัตถการอย่างหนึ่งที่มักจะให้ผลลัพธ์หลังการรักษาที่ชัดเจนและดีขึ้นในทันที อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดขึ้นอยู่กับแผลเป็นหลุมสิวในแต่ละบุคคล ความรุนแรงของแผลเป็นจากสิว ปริมาณของพังผืด ตำแหน่งของเนื้อเยื่อแผลเป็น และความหนาของผิวหนังคนไข้ด้วย

ในบางกรณี เช่น ในหลุมสิว Rolling scar ที่ปากแผลกว้าง ขอบไม่ชัด มีพังผืดเกาะไม่ลึกและไม่หนามาก หมออาจรักษาให้ดีขึ้นได้ถึง 80-90% ได้ในการทำหัตถการเพียงครั้งเดียว แต่ในกรณีที่หลุมสิวรุนแรงกว่า มีพังผืดที่หนาและแข็งมาก ดึงรั้งกับไขมันกล้ามเนื้อชั้นลึกเยอะ อาจรักษาได้ยากขึ้น แบบนี้อาจต้องรักษา 2-3 ครั้งขึ้นไปเพื่อให้ผลดีขึ้น 50-70% ร่วมกับฉีดสารเติมเต็มเข้าไปด้วยค่ะ

ข้อควรระวังในการทำหัตถการ?
เพื่อลดอาการเลือดออกหรือรอยช้ำ โปรดหลีกเลี่ยงการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น กระเทียม  fish oil(น้ำมันปลา) วิตามินE พริมโรส Gingko(สารสกัดแปะก๊วย) ฯลฯ ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนการรักษา เนื่องจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออก บวมช้ำได้

สามารถทำ Subcision ได้ทุกสภาพผิวหรือไม่?
ใช่ค่ะ Subcision สามารถทำได้ในทุกสภาพผิว ทั้งในคนผิวขาวและคนผิวคล้ำ (ผิวเอเชีย ผิวเมดิเตอร์เรเนียน และผิวสี) ความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำจากการอักเสบ(PIH)นั้น แทบไม่มีเลย เมื่อเทียบกับการทำเลเซอร์บางประเภท


***************** แม้ว่าการทำ Subcision อาจดูเหมือนเป็นหัตถการที่ไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยาก แต่จำเป็นต้องอาศัยทักษะความชำนาญ และความละเอียดของแพทย์ผู้ทำเป็นอย่างมาก เพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตามในขั้นแรกของการรักษาหลุมสิวทุกประเภท คือการวิเคราะห์ประเภทของแผลเป็นหลุมสิวให้ถูกต้อง แล้วเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับประเภทของหลุมสิวและสภาพผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์การรักษาดีขึ้นได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

** ในปัจจุบัน การตัดพังผืด (Subcision) กลายเป็นคำตอบยอดนิยมสำหรับการรักษาหลุมสิว หลายคนมองว่าการตัดพังผืดเพียงอย่างเดียวจะช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวได้ทุกแบบ แต่ในความเป็นจริง นั่นเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น


การตัดพังผืด: แค่เริ่มต้น แต่ยังไม่เพียงพอ
การตัดพังผืดช่วยปลดพันธนาการของพังผืดที่ดึงรั้งผิวเอาไว้ให้หลุดออก หลุมสิวที่เคยลึกก็อาจดูตื้นขึ้นได้ในทันที แต่หากไม่มีการเสริมการฟื้นฟูโครงสร้างผิวหลังการตัดพังผืด ผลลัพธ์อาจอยู่ได้ไม่นาน เพราะพังผืดสามารถกลับมาก่อตัวกันใหม่ได้ และอาจหนาแน่นกว่าเดิม

ที่ Real clinic เราเชื่อมั่นว่าการรักษาหลุมสิวที่ได้ผลลัพธ์อย่างแท้จริงต้องครอบคลุมทั้งการตัดพังผืดเพื่อปลดล็อกการดึงรั้งของหลุมสิว และการเสริมสร้างคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียนอย่างยั่งยืน ซึ่งสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญของ Real Scar Synergy โปรแกรมที่เราออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาหลุมสิวอย่างครอบคลุม

อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ในบางกรณีที่ผิวเดิมของคนไข้เกิดการเสียหายไปมาก แล้วต้องการผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้มากที่สุดและมีเวลาจำกัดในการรักษา อาจจำเป็นต้องมีตัวเสริมเพิ่มเติมเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่น:

  1. การใช้ฟิลเลอร์ สารเติมเต็ม (Dermal Fillers): ฟิลเลอร์สามารถช่วยเติมเต็มช่องว่างใต้ผิวหนังที่เกิดขึ้นหลังจากการตัดพังผืด แม้เราจะตัดพังผืดไปแล้ว แต่ด้านใต้เป็นช่องว่างยุบตัวอยู่ ใบหน้าก็จะไม่ฟูเต็มที่ก็ยังคงเห็นเป็นหลุมอยู่ดี  ฟิลเลอร์จึงมามีส่วนช่วยให้ผิวดูฟูเรียบเนียนขึ้น และยังมีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย 
  2. การใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนร่วมกับการตัดพังผืด (subcision) เป็นวิธีที่เรียกว่า คาร์บ็อกซีเทอราพี (Carboxytherapy)
  3. การทำเลเซอร์ (Laser Treatment): การทำเลเซอร์สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับสภาพเกลี่ยผิวชั้นบนให้เรียบขึ้นได้ ช่วยลดรอยหลุมสิวและทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
  4. การทำไมโครนีดลิง (Microneedling): วิธีนี้ใช้กลุ่มเข็มขนาดเล็ก ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอิลาสติน ช่วยผลักตัวยาสารบำรุงเข้าผิวชั้นลึก ช่วยฟื้นฟูผิวและลดรอยหลุมสิว
  5. การใช้เซรั่มช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน:** การใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จะช่วยเสริมการรักษา ลดรอยหลังทำหัตถการ และให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในระยะยาว

1. การใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนร่วมกับการตัดพังผืด (subcision) เป็นวิธีที่เรียกว่า **คาร์บ็อกซีเทอราพี (Carboxytherapy)** วิธีนี้มีการใช้ก๊าซ CO₂ ฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและปรับปรุงสภาพผิว

ประโยชน์ของการใช้ CO₂ 

  1. กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด: ก๊าซ CO₂ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณที่ฉีด ทำให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวหนัง
  2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: การใช้ CO₂ ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวหนังแข็งแรงและยืดหยุ่นขึ้น ลดรอยหลุมสิวและทำให้ผิวเรียบเนียน
  3. ลดการอักเสบ: ก๊าซ CO₂ มีคุณสมบัติลดการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการบวมแดงและช่วยให้ผิวหนังฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังการตัดพังผืด
  4. เพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา: การใช้ CO₂ ร่วมกับการตัดพังผืดสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา โดยทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น

ข้อควรรู้
1. **ผลข้างเคียง:** การใช้ CO₂ อาจมีผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือรู้สึกไม่สบายบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมงหรือวัน
2. **ความปลอดภัย:** ควรทำการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการใช้ CO₂ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
3. **การตอบสนองของผิวแต่ละคนแตกต่างกัน:** ผลลัพธ์ของการใช้ CO₂ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการตอบสนองของร่างกาย
การใช้ CO₂ ร่วมกับการตัดพังผืดสามารถเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาหลุมสิว ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ

2. การเติมเต็มหลุมสิวด้วยสารเติมเต็ม (dermal filler ) เป็นวิธีการใช้สารเติมเต็ม เช่น ไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปในบริเวณหลุมสิว เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น เติมเต็มพื้นที่ว่างใต้ผิวหนังที่เป็นหลุมสิวทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นทันที อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกายได้อีกด้วย   ส่วนกลุ่มสารกระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator มีคุณสมบัติหลักในการกระตุ้นคอลลาเจน และบางชนิดอาจมีคุณสมบัติแบบสารเติมเต็มที่สามารถเพิ่ม volume ของผิวที่ยุบตัวให้ฟูขึ้นทันที
หลักการทำงานของฟิลเลอร์

  1. เติมเต็มพื้นที่ว่าง: เมื่อฟิลเลอร์ถูกฉีดเข้าไปในบริเวณที่เป็นหลุมสิว มันจะเติมเต็มพื้นที่ว่างใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังยกขึ้นและดูเรียบเนียน
  2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน : สารเติมเต็มกลุ่ม Hyaluronic acid(HA) สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ผ่านกลไก fibroblast stretching มีผลกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว 

มีข้อดีและข้อจำกัดดังนี้

  1. ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน: หลังการฉีดฟิลเลอร์ ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันที ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  2. เวลาในการรักษาสั้น: การฉีดฟิลเลอร์ใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่ไม่เกิน 30 นาที
  3. ไม่มีเวลาพักฟื้น: หลังการฉีดฟิลเลอร์สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันท
  4. ความปลอดภัยสูง: ไฮยาลูรอนิคแอซิดเป็นสารที่ร่างกายสามารถย่อยสลายได้ ทำให้มีความเสี่ยงต่ออาการแพ้หรือติดเชื้อต่ำ

การใช้ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับหลุมสิวแบบใด

  • Boxcar scars**: หลุมสิวก้นหลุมแบนราบคล้ายกล่อง โดยแบบที่ขอบไม่หนาคมมาก จะตอบสนองต่อการรักษาได้ดี
  • Rolling scars**: หลุมสิวที่มีลักษณะเป็นแอ่งคลื่น 

สรุป
แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะไม่ใช่กระบวนการหลักในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่ก็สามารถมีผลกระตุ้นได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ การเลือกฟิลเลอร์และการฉีดควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด


3. การใช้สารกระตุ้นคอลลาเจนอื่นๆ

กลุ่มสารกระตุ้นคอลลาเจน Biostimulator มีคุณสมบัติหลักในการกระตุ้นคอลลาเจน และบางชนิดอาจมีคุณสมบัติแบบสารเติมเต็มที่สามารถเพิ่ม volume ของผิวที่ยุบตัวให้ฟูขึ้นทันที

ในปัจจุบันยังมีสารเติมเต็มกระตุ้นคอลลาเจนชนิดอื่นๆอีกหลายตัว(Biostimulator) ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้มากขึ้น เช่น Poly-L-Lactic acid(PLLA), Poly-D-L-Lactic (PDLLA), Calcium Hydroxylapatite(CAHA), Polynucleotide(PN, PDRN), Exosome มีผลกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ร่างกายจะตอบสนองต่อสารที่ฉีดเข้าไปโดยการสร้างคอลลาเจนใหม่ๆ รอบๆบริเวณดังกล่าว

   การใช้ Sculptra ร่วมกับการรักษาหลุมสิว เป็นสารเติมเต็มผิวหนังที่ใช้สาร Poly-L-lactic acid (PLLA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง การใช้ Sculptra ร่วมกับการตัดพังผืด (subcision) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว โดยเฉพาะหลุมสิวที่ลึกและยากที่จะรักษา

ประโยชน์ของการใช้ Sculptra 

  1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: Sculptra ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวหนังอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลุมสิวค่อยๆ ตื้นขึ้นและผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้นในระยะยาว
  2. ผลลัพธ์ที่ยาวนาน: ผลลัพธ์ของ Sculptra มักจะคงอยู่ได้นานหลายปี เนื่องจากกระบวนการสร้างคอลลาเจนจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องหลังการฉีด
  3. เติมเต็มหลุมสิว: การใช้ Sculptra ร่วมกับการตัดพังผืดช่วยเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากการตัดพังผืด ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

ข้อควรรู้

  • จำนวนครั้งในการรักษา: การฉีด Sculptra มักต้องทำหลายครั้ง (2-4 ครั้ง) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยแต่ละครั้งควรเว้นระยะห่างประมาณ 4-6 สัปดาห์
  • ความปลอดภัย: ควรทำการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
  • การใช้ Sculptra ร่วมกับการตัดพังผืดสามารถเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับหลุมสิว ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ

   การใช้ Exosome ร่วมกับการรักษาหลุมสิว เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจในวงการความงามและการฟื้นฟูผิว Exosome เป็นอนุภาคเล็กๆ ที่เซลล์ต่างๆ ในร่างกายปล่อยออกมาเพื่อสื่อสารกัน พวกมันมีบทบาทสำคัญในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ และมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการฟื้นฟูและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ

ประโยชน์ของการใช้ Exosome 

  1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน: Exosome สามารถส่งสัญญาณให้เซลล์ผิวผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินเพิ่มขึ้น ช่วยเติมเต็มหลุมสิวและปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิว
  2. ฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ: Exosome มีความสามารถในการกระตุ้นการฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นและปรับปรุงสภาพผิว
  3. ลดการอักเสบ: Exosome มีคุณสมบัติลดการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการบวมแดงและทำให้ผิวสงบลง

สรุป

การตัดพังผืดใต้หลุมสิวสามารถช่วยปรับปรุงสภาพหลุมสิวได้ดีในระดับหนึ่ง แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น การเติมฟิลเลอร์หรือการรักษาเพิ่มเติมอื่นๆ ก็นับว่าจำเป็นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของแพทย์แต่ละบุคคลในการทำ

*** แม้ใช้อุปกรณ์,ตัวยา,วิธีการรักษาที่เหมือนกัน แต่อยู่ในมือแพทย์ที่ต่างกัน ผลลัพธ์และความปลอดภัย ย่อมต่างกัน

Real clinic ทางเลือกของคนที่ต้องการแก้ปัญหาหลุมสิวอย่างมั่นใจ
หากคุณกำลังมองหาวิธีรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน และได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจปัญหาผิวหน้าอย่างแท้จริง Realclinic คือคำตอบของคุณ เราพร้อมช่วยคุณฟื้นฟูความมั่นใจและปรับผิวให้เรียบเนียนอีกครั้ง ด้วยเทคนิคเฉพาะ และทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ

โปรแกรมเด่นที่ Realclinic สำหรับหลุมสิว: Real Scar Synergy และ Juvgen
ฟิลเลอร์หลุมสิว ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว fillerหลุมสิว เติมเต็มหลุมสิว ดรจินหลุมสิว หลุมสิวเกาหลี 1. Real Scar Synergy: โปรแกรมผสานเทคนิคที่ตอบโจทย์ทุกประเภทหลุมสิว
คือ โปรแกรมรักษาหลุมสิวที่ออกแบบขึ้นโดย Dr.Ramita ซึ่งเน้นการรักษาโดยวิธีหัตถการแพทย์เป็นหลัก (Non-Energy Based Acne Scar Revision) ด้วยเทคนิคเฉพาะของ Dr.Ramita ผสมผสานหลายวิธีมาตรฐานที่มีงานวิจัยรองรับ เสริมด้วยเทคนิคพิเศษที่คุณหมอศึกษาเพิ่มเติมจากอาจารย์แพทย์ชาวเกาหลี คือการฉีดสารฟื้นฟูเติมเต็มร่วมกับฉีดก๊าซเข้าไปตัดพังผืดและไปกระตุ้นเนื้อเยื่อคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้เกิด Skin Regeneration ฟื้นฟูหลุมสิวด้วยคอลลาเจนของตัวเราเอง เพิ่มเติมด้วยสารฟื้นบำรุงช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว เพื่อเสริมประสิทธิภาพการรักษาให้เห็นผลเร็วยิ่งขึ้น ลดการบวมช้ำ ไม่ต้องพักหน้า
คลิก อ่านข้อมูลเพิ่มเติม

ฟิลเลอร์หลุมสิว ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว fillerหลุมสิว เติมเต็มหลุมสิว ดรจินหลุมสิว หลุมสิวเกาหลี 2. Juvgen คือการรักษาหลุมสิวที่ คุณหมอรมิตา ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจาก Dr. Jin Se-hun (ดร.จิน รักษาหลุมสิวเกาหลี) ศัลยแพทย์ตกแต่งชื่อดังชาวเกาหลี เทคนิคนี้มุ่งเน้นการกระตุ้นคอลลาเจนการ ฟื้นฟูผิวหนังด้วยตัวเอง โดยใช้การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิกอนุภาคเล็ก (Hyaluronic Acid) เข้าสู่ชั้นหนังแท้บริเวณที่มีปัญหา เช่น หลุมสิว ริ้วรอยร่องลึก หรือแผลเป็นเนื้อผิวยุบตัว กระบวนการนี้จะช่วยสร้างเนื้อเยื่อผิวคอลลาเจนในปริมาณมากให้ขึ้นมามาทดแทนผิวหนังที่เคยยุบเป็นหลุม ให้สามารถฟูตัวขึ้นมา ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ เนื้อเยื่อใหม่ โดยไม่ทำลายโครงสร้างผิวหนัง หลังการรักษาประมาณ 3-5 วัน จะสังเกตเห็นการยกตัวของเนื้อเยื่อคอลลาเจนใหม่ที่ขึ้นมาช่วยลดเลือนแผลเป็นหลุมสิวความไม่เรียบเนียนของผิว 
คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม

" การรักษารอยแผลเป็น'หลุมสิว' เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ทางการแพทย์ เป็นหนึ่งในการรักษาที่หมอมีความถนัดชำนาญ และชอบเป็นการส่วนตัวค่ะ เนื่องจากหมอก็เป็นคนที่มีปัญหาหลุมสิวด้วยเหมือนกัน หมอจึงศึกษาและติดตามอัพเดทการรักษาหลุมสิวมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนเรียนแพทย์ทั่วไป เรียนแพทย์ต่อยอดด้านผิวหนัง มาจนถึงปัจจุบัน 

โดยเทคนิคเฉพาะตัวที่หมอถนัดและเชี่ยวชาญและเชื่อมั่นในผลลัพธ์ที่สุด จะเป็นกลุ่มการรักษาด้วยหัตถการเน้นมือแพทย์เป็นหลัก (Non-Energy Based Scar Revision) และใช้เลเซอร์เป็นเพียงส่วนเสริมเก็บรายละเอียดเท่านั้น

เทคนิควิธีของหมอในการรักษาแผลเป็นหลุมสิวนั้นเป็นแบบเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร อาศัยทักษะความสามารถ เทคนิคขั้นสูงในการทำหัตถการการรักษาหลุมสิว เป็นงานฝีมือแพทย์ที่ต้องใช้ความชำนาญและความละเอียดเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก และต้องเข้าใจเรื่องหลุมสิวอย่างถ่องแท้ รู้ว่าวิธีการรักษาหลุมสิวประเภทนี้ มีวิธีใดใช้รักษาได้บ้าง และนำมาปรับใช้กับคนไข้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดโดยเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้