Last updated: 4 ก.พ. 2568 | 25 จำนวนผู้เข้าชม |
หลุมสิวเป็นปัญหาที่กวนใจใครหลายคน แม้ว่าสิวจะหายไปแล้ว แต่เมื่ออายุมากขึ้น หลุมสิวกลับดูชัดขึ้นกว่าเดิม ทั้งที่อาจเคยเป็นเพียงเล็กน้อยในวัยหนุ่มสาวปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ โครงสร้างผิวที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัย การเสื่อมสภาพของคอลลาเจน อีลาสติน ไขมันใต้ผิว และเส้นใยพังผืดที่ยึดหลุมสิวไว้บทความนี้จะเจาะลึกถึงโครงสร้างของผิวหนังและการเปลี่ยนแปลงตามอายุกลไกของการกระตุ้นคอลลาเจนในแต่ละรูปแบบการเปรียบเทียบผลลัพธ์ของการรักษาต่างๆความแตกต่างของผิวระหว่างคนที่ดูแลกับคนที่ไม่ดูแลเลย
บทความนี้จะเจาะลึกถึง
1. โครงสร้างของผิวหนัง และการเปลี่ยนแปลงตามอายุ
โครงสร้างผิวหนังชั้นลึก (Deep Skin Structure)
ผิวหนังของเราประกอบไปด้วย 3 ชั้นหลัก ได้แก่
หลุมสิวเกิดจาก พังผืด (Fibrotic Scar) ที่ดึงรั้งลงไปถึงชั้นหนังแท้ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ผิวหนังชั้นนี้จะบางลง เส้นใยคอลลาเจนแตกตัว ทำให้หลุมสิวดูลึกและชัดขึ้น
2 การลดลงของคอลลาเจนและอีลาสติน
คอลลาเจนคืออะไรและทำไมมันสำคัญต่อผิว?
คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ คิดเป็นประมาณ 30% ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย โดยคอลลาเจนจะทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักในการยึดเกาะเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกันในหลายอวัยวะ เช่น ผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น และหลอดเลือด
ในผิวหนัง, คอลลาเจนอยู่ใน ชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการให้ความแข็งแรง ความกระชับ และความยืดหยุ่นแก่ผิว หากไม่มีคอลลาเจน ผิวก็จะสูญเสียความกระชับและเกิดริ้วรอยได้ง่าย
กลไกที่ทำให้คอลลาเจนลดลงเมื่ออายุมากขึ้น
2.1 คอลลาเจนจะถูกผลิตโดยเซลล์ที่เรียกว่า ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงการผลิตคอลลาเจนในผิวหนัง เมื่อเราอายุมากขึ้น เซลล์ไฟโบรบลาสต์จะมีประสิทธิภาพในการผลิตคอลลาเจนลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ คอลลาเจนที่ผลิตใหม่ มีปริมาณน้อยลงและคุณภาพไม่ดีเท่ากับคอลลาเจนที่ผลิตในวัยเยาว์
2.2 การเสื่อมของคอลลาเจนจากกระบวนการออกซิเดชัน
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนลดลงคือกระบวนการ ออกซิเดชัน (Oxidation) ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาระหว่าง อนุมูลอิสระ (Free Radicals) กับคอลลาเจน อนุมูลอิสระเหล่านี้จะเกิดจากการสัมผัสกับมลภาวะต่างๆ เช่น แสงแดด, มลพิษ, การสูบบุหรี่, และอาหารที่มีไขมันสูง การทำลายคอลลาเจนจากอนุมูลอิสระจะทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพและย่อยสลายไปเร็วกว่าที่ร่างกายจะสามารถสร้างใหม่ได้
2.3 กระบวนการ Glycation
เมื่อเรากินอาหารที่มีน้ำตาลสูง น้ำตาลจะเชื่อมต่อกับ โปรตีน (รวมถึงคอลลาเจน) ในกระบวนการที่เรียกว่า Glycation ซึ่งจะทำให้โปรตีนเหล่านั้นเสื่อมสภาพ การ glycation ทำให้คอลลาเจนแข็งขึ้นและสูญเสียความยืดหยุ่น ผิวจึงเริ่มมีลักษณะหยาบกร้านและหลุมสิวจะดูชัดขึ้น
2.4 การสูญเสียคอลลาเจนจากการลดฮอร์โมน
ฮอร์โมนก็มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน โดยเฉพาะในช่วงที่ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ลดลงในช่วงวัยทองหรือการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนเอสโตรเจนช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวหนัง เมื่อระดับเอสโตรเจนลดลงในวัยกลางคน คอลลาเจนก็จะลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอย
2.5 ปัจจัยจากแสงแดด (Photoaging)
แสงแดด เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้คอลลาเจนในผิวหนังเสื่อมสภาพ โดย UV rays จากแสงแดดจะทำลายคอลลาเจนในผิวโดยตรง ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า Photoaging นอกจากทำให้คอลลาเจนในผิวสลายแล้ว แสงแดดยังกระตุ้นการผลิตอนุมูลอิสระที่ไปทำลายเนื้อเยื่อของผิว รวมถึงคอลลาเจน ทำให้หลุมสิวดูชัดเจนขึ้น
3 ผลกระทบจากการลดลงของคอลลาเจนต่อผิวหนัง
3.1 การเกิดริ้วรอยและหลุมสิว
เมื่อคอลลาเจนลดลง โครงสร้างของผิวจะสูญเสียความยืดหยุ่นและความกระชับ ทำให้ ริ้วรอย และ หลุมสิว เริ่มเห็นชัดขึ้น โดยเฉพาะในคนที่มีหลุมสิวอยู่แล้วจะสังเกตเห็นว่าหลุมสิวลึกขึ้นและขอบของหลุมสิวจะชัดเจนมากขึ้นตามอายุ
3.2 ความหย่อนคล้อยของผิว
การสูญเสียคอลลาเจนจะทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น และสูญเสียโครงสร้างที่ทำให้ผิวหน้าเต่งตึง ส่งผลให้ผิวดูหย่อนคล้อยและเหี่ยว ซึ่งมักจะเห็นได้ชัดในบริเวณ กรอบหน้า และ ใต้ตา
3.3 ความเสียหายจากแสงแดด
เมื่อคอลลาเจนลดลง, ผิวจะไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดีเท่าที่ควร เมื่อถูกทำลายจากแสงแดดบ่อยครั้ง การฟื้นฟูผิวจะยิ่งช้าลง และจะมีปัญหาหลุมสิวและริ้วรอยที่ยากจะรักษา
การรักษาหลุมสิวให้ได้ผลดีจำเป็นต้องกระตุ้นคอลลาเจน : เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สำคัญในการซ่อมแซมผิวและช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับ ซึ่งหลุมสิวเกิดจากการที่คอลลาเจนในผิวถูกทำลายไปในระหว่างกระบวนการการอักเสบของสิว เมื่อหลุมสิวเกิดขึ้น จะเป็นการสูญเสียคอลลาเจนในพื้นที่นั้น ซึ่งทำให้เกิดร่องลึกหรือแผลเป็นที่มองเห็นได้ชัดเจน
การกระตุ้นคอลลาเจนในการรักษาหลุมสิวมีความสำคัญเพราะ :
1. การซ่อมแซมผิวที่เสียหาย
คอลลาเจนทำหน้าที่เป็น "โครงสร้าง" ที่ช่วยให้ผิวหนังมีความกระชับและเต็ม อาการของหลุมสิวคือการที่ผิวไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงจำเป็นต้องกระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจนใหม่เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากการทำลายของสิว การกระตุ้นคอลลาเจนจะช่วยให้ผิวฟื้นตัวและหลุมสิวตื้นขึ้น
2. เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง
เมื่อผิวถูกกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนใหม่, ผิวจะกลับมาแข็งแรงและยืดหยุ่นเหมือนเดิม ซึ่งจะช่วยให้ผิวที่มีหลุมสิวสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้น หลุมสิวที่เคยลึกจะดูตื้นขึ้น และการปรับปรุงสภาพผิวโดยรวมจะช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น
3. ลดการเกิดแผลเป็นในอนาคต
การกระตุ้นคอลลาเจนช่วยไม่เพียงแต่ซ่อมแซมหลุมสิวที่มีอยู่แล้ว แต่ยังช่วยลดโอกาสในการเกิดหลุมสิวในอนาคต เนื่องจากคอลลาเจนที่เกิดใหม่จะทำให้ผิวแข็งแรงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จึงมีโอกาสน้อยที่จะเกิดการเกิดแผลเป็นหรือหลุมสิวจากการอักเสบของสิวในอนาคต
4. กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
การกระตุ้นคอลลาเจนยังช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ (Cell regeneration) ซึ่งจะช่วยให้ผิวมีการฟื้นฟูตัวเองจากการบาดเจ็บหรือการอักเสบจากสิว ผิวที่ได้รับการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่จะมีลักษณะผิวที่สดใสและดูเนียนขึ้น
กระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่
การกระตุ้นคอลลาเจนในกระบวนการรักษาหลุมสิวมักทำได้ผ่านหลายวิธี เช่น การทำ Microneedling, RF Microneedling, เลเซอร์, หรือการใช้ ฟิลเลอร์ กระบวนการเหล่านี้ช่วยทำให้เกิดการบาดเจ็บเล็กๆ ที่ผิวชั้นบน ซึ่งจะกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อซ่อมแซมจุดที่มีปัญหากระบวนการนี้จะช่วยลดหลุมสิวให้ตื้นขึ้นและช่วยให้การรักษามีผลระยะยาว
1.การใช้พลังงาน (Energy-Based Devices - EBDs)
2. สารกระตุ้นคอลลาเจน
2. Juvgen คือการรักษาหลุมสิวที่ คุณหมอรมิตา ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจาก Dr. Jin Se-hun (ดร.จิน รักษาหลุมสิวเกาหลี) ศัลยแพทย์ตกแต่งชื่อดังชาวเกาหลี เทคนิคนี้มุ่งเน้นการกระตุ้นคอลลาเจนการ ฟื้นฟูผิวหนังด้วยตัวเอง โดยใช้การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิกอนุภาคเล็ก (Hyaluronic Acid) เข้าสู่ชั้นหนังแท้บริเวณที่มีปัญหา เช่น หลุมสิว ริ้วรอยร่องลึก หรือแผลเป็นเนื้อผิวยุบตัว กระบวนการนี้จะช่วยสร้างเนื้อเยื่อผิวคอลลาเจนในปริมาณมากให้ขึ้นมามาทดแทนผิวหนังที่เคยยุบเป็นหลุม ให้สามารถฟูตัวขึ้นมา ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ เนื้อเยื่อใหม่ โดยไม่ทำลายโครงสร้างผิวหนัง หลังการรักษาประมาณ 3-5 วัน จะสังเกตเห็นการยกตัวของเนื้อเยื่อคอลลาเจนใหม่ที่ขึ้นมาช่วยลดเลือนแผลเป็นหลุมสิวความไม่เรียบเนียนของผิว
คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม
3. เลเซอร์เกลี่ยขอบหลุมสิว ด้วยเครื่อง MCL Dermablate: ErbiumYAG