Last updated: 17 ธ.ค. 2567 | 3458 จำนวนผู้เข้าชม |
การตัดพังผืดใต้หลุมสิว (subcision) สามารถช่วยให้หลุมสิวดีขึ้นได้ทันทีบางส่วน เนื่องจากการตัดพังผืดจะทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังมีการฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อเติมเต็มหลุมสิว
การตัดพังผืดใต้หลุมสิว (subcision) สามารถทำได้โดยใช้เข็มทู่ (blunt needle) หรือเข็มคม (sharp needle) ทั้งสองวิธีมีข้อดีและข้อเสียของตนเอง การเลือกใช้เข็มชนิดใดขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ผิวหนังและสภาพผิวของผู้ป่วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมก่อนการรักษา
ทั้งสองวิธีมีความแตกต่างกันดังนี้:
1. เข็มทู่ (Blunt Needle):
- ข้อดี: เข็มทู่มีโอกาสน้อยที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเลือดออกใต้ผิวหนัง เนื่องจากปลายเข็มไม่แหลมคม ทำให้สามารถตัดพังผืดได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบๆ มากเกินไป
- ข้อเสีย: อาจใช้เวลานานกว่าและอาจจะไม่เหมาะสำหรับพังผืดที่แข็งแรงมากๆ
2. เข็มคม (Sharp Needle):
- ข้อดี: เข็มคมสามารถตัดพังผืดที่แข็งแรงได้ง่ายและรวดเร็ว เนื่องจากปลายเข็มแหลมคมและสามารถเจาะผ่านพังผืดได้ง่าย
- ข้อเสีย: มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเลือดออกใต้ผิวหนังมากกว่า และอาจทำให้เกิดแผลเป็นหรือติดเชื้อได้ถ้าไม่ทำอย่างระมัดระวัง
การตัดพังผืดรักษาหลุมสิว: ศาสตร์ ศิลป์ และสิ่งที่คุณควรรู้ในปัจจุบัน การตัดพังผืด (Subcision) กลายเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการรักษาหลุมสิว หลายคลินิกมักโปรโมทว่าการตัดพังผืดสามารถแก้ปัญหาหลุมสิวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ว่าสามารถตัดลึกทั่วทุกชั้น ทุกอณู เพื่อขจัดพังผืดทั้งหมด แต่ในความเป็นจริง การตัดพังผืดเป็นมากกว่าการใช้เข็มกรีดผิว มันคือศาสตร์และศิลป์ที่ต้องการ ความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด ศาสตร์และศิลป์ของการตัดพังผืดการตัดพังผืดไม่ใช่เพียงแค่การใช้เครื่องมือหรือเทคนิคตามตำราเท่านั้น แต่ต้องอาศัยการประเมินที่แม่นยำและความเข้าใจโครงสร้างผิวหนังในแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญที่พัฒนาได้จากประสบการณ์และฝีมือของแพทย์
ที่สำคัญ การตัดพังผืดในทุกชั้นอย่างไร้ทิศทาง โดยไม่คำนึงถึงเส้นเอ็นหรือโครงสร้างผิวที่ช่วยพยุงใบหน้า อาจทำให้เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อยในอนาคต ดังนั้นการตัดพังผืดต้องอาศัย ศาสตร์และศิลป์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งด้านความรู้ ประสบการณ์ และการควบคุมทิศทางที่แม่นยำ
ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
การตัดพังผืดที่ดีมีปัจจัยสำคัญดังนี้:
ในปัจจุบัน การตัดพังผืด (Subcision) กลายเป็นคำตอบยอดนิยมสำหรับการรักษาหลุมสิว หลายคนมองว่าการตัดพังผืดเพียงอย่างเดียวจะช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวได้อย่างถาวร แต่ในความเป็นจริง นั่นเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น
การตัดพังผืด: แค่เริ่มต้น แต่ยังไม่เพียงพอ
การตัดพังผืดช่วยปลดพันธนาการของพังผืดที่ดึงรั้งผิวเอาไว้ให้หลุดออก หลุมสิวที่เคยลึกก็อาจดูตื้นขึ้นได้ในทันที แต่หากไม่มีการเสริมการฟื้นฟูโครงสร้างผิวหลังการตัดพังผืด ผลลัพธ์อาจอยู่ได้ไม่นาน เพราะพังผืดใหม่สามารถกลับมาก่อตัวได้ และอาจแน่นกว่าเดิม
ที่ Realclinic เราเชื่อมั่นว่าการรักษาหลุมสิวที่ได้ผลลัพธ์อย่างแท้จริงต้องครอบคลุมทั้งการตัดพังผืดเพื่อปลดล็อกการดึงรั้งของหลุมสิว และการเสริมคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียนอย่างยั่งยืน ซึ่งสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญของ Real Scar Synergy โปรแกรมที่เราออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาหลุมสิวอย่างครอบคลุม
อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้อาจไม่เพียงพอ ในบางกรณีที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและเห็นผลไว อาจต้องการการเสริมเติมเพิ่มเติมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่น:
1. การใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนร่วมกับการตัดพังผืด (subcision) เป็นวิธีที่เรียกว่า **คาร์บ็อกซีเทอราพี (Carboxytherapy)** วิธีนี้มีการใช้ก๊าซ CO₂ ฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและปรับปรุงสภาพผิว
ประโยชน์ของการใช้ CO₂
ข้อควรรู้
1. **ผลข้างเคียง:** การใช้ CO₂ อาจมีผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือรู้สึกไม่สบายบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมงหรือวัน
2. **ความปลอดภัย:** ควรทำการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการใช้ CO₂ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
3. **การตอบสนองของผิวแต่ละคนแตกต่างกัน:** ผลลัพธ์ของการใช้ CO₂ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการตอบสนองของร่างกาย
การใช้ CO₂ ร่วมกับการตัดพังผืดสามารถเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาหลุมสิว ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ
2. การเติมเต็มหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ (dermal filler) เป็นวิธีการใช้สารเติมเต็ม เช่น ไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปในบริเวณหลุมสิว เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกายได้ แต่ไม่ใช่หลักการหลักของการทำงานของฟิลเลอร์ กระบวนการหลักของฟิลเลอร์คือการเติมเต็มพื้นที่ว่างใต้ผิวหนังที่เป็นหลุมสิวทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นทันที
หลักการทำงานของฟิลเลอร์
มีข้อดีและข้อจำกัดดังนี้
สรุป
แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะไม่ใช่กระบวนการหลักในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่ก็สามารถมีผลกระตุ้นได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ การเลือกฟิลเลอร์และการฉีดควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด
3. การใช้ Sculptra ร่วมกับการรักษาหลุมสิว เป็นสารเติมเต็มผิวหนังที่ใช้สาร Poly-L-lactic acid (PLLA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง การใช้ Sculptra ร่วมกับการตัดพังผืด (subcision) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว โดยเฉพาะหลุมสิวที่ลึกและยากที่จะรักษา
ประโยชน์ของการใช้ Sculptra
ข้อควรรู้
4. การใช้ Exosome ร่วมกับการรักษาหลุมสิว เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจในวงการความงามและการฟื้นฟูผิว Exosome เป็นอนุภาคเล็กๆ ที่เซลล์ต่างๆ ในร่างกายปล่อยออกมาเพื่อสื่อสารกัน พวกมันมีบทบาทสำคัญในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ และมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการฟื้นฟูและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
ประโยชน์ของการใช้ Exosome
สรุป
การตัดพังผืดใต้หลุมสิวสามารถช่วยปรับปรุงสภาพหลุมสิวได้ดีในระดับหนึ่ง แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น การเติมฟิลเลอร์หรือการรักษาเพิ่มเติมอื่นๆ ก็นับว่าจำเป็นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของแพทย์แต่ละบุคคลในการทำ
*** แม้ใช้อุปกรณ์,ตัวยา,วิธีการรักษาเหมือนกัน แต่อยู่ในมือแพทย์ที่ต่างกัน ผลลัพธ์และความปลอดภัย ย่อมต่างกัน
Realclinic ทางเลือกของคนที่ต้องการแก้ปัญหาหลุมสิวอย่างมั่นใจ
หากคุณกำลังมองหาวิธีรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน และได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจปัญหาผิวหน้าอย่างแท้จริง Realclinic คือคำตอบของคุณ เราพร้อมช่วยคุณฟื้นฟูความมั่นใจและปรับผิวให้เรียบเนียนอีกครั้ง ด้วยเทคนิคเฉพาะ และทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ
โปรแกรมเด่นที่ Realclinic สำหรับหลุมสิว: Real Scar Synergy และ Juvgen
1. Real Scar Synergy: โปรแกรมผสานเทคนิคที่ตอบโจทย์ทุกประเภทหลุมสิว
คือ โปรแกรมรักษาหลุมสิวที่ออกแบบขึ้นโดย Dr.Ramita ซึ่งเน้นการรักษาโดยวิธีหัตถการแพทย์เป็นหลัก (Non-Energy Based Acne Scar Revision) ด้วยเทคนิคเฉพาะของ Dr.Ramita ผสมผสานหลายวิธีมาตรฐานที่มีงานวิจัยรองรับ เสริมด้วยเทคนิคพิเศษที่คุณหมอศึกษาเพิ่มเติมจากอาจารย์แพทย์ชาวเกาหลี คือการฉีดสารฟื้นฟูเติมเต็มร่วมกับฉีดก๊าซเข้าไปตัดพังผืดและไปกระตุ้นเนื้อเยื่อคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้เกิด Skin Regeneration ฟื้นฟูหลุมสิวด้วยคอลลาเจนของตัวเราเอง เพิ่มเติมด้วยสารฟื้นบำรุงช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว เพื่อเสริมประสิทธิภาพการรักษาให้เห็นผลเร็วยิ่งขึ้น ลดการบวมช้ำ ไม่ต้องพักหน้า
คลิก อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
2. Juvgen คือการรักษาหลุมสิวที่ คุณหมอรมิตา ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจาก Dr. Jin Se-hun (ดร.จิน รักษาหลุมสิวเกาหลี) ศัลยแพทย์ตกแต่งชื่อดังชาวเกาหลี เทคนิคนี้มุ่งเน้นการกระตุ้นคอลลาเจนการ ฟื้นฟูผิวหนังด้วยตัวเอง โดยใช้การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิกอนุภาคเล็ก (Hyaluronic Acid) เข้าสู่ชั้นหนังแท้บริเวณที่มีปัญหา เช่น หลุมสิว ริ้วรอยร่องลึก หรือแผลเป็นเนื้อผิวยุบตัว กระบวนการนี้จะช่วยสร้างเนื้อเยื่อผิวคอลลาเจนในปริมาณมากให้ขึ้นมามาทดแทนผิวหนังที่เคยยุบเป็นหลุม ให้สามารถฟูตัวขึ้นมา ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ เนื้อเยื่อใหม่ โดยไม่ทำลายโครงสร้างผิวหนัง หลังการรักษาประมาณ 3-5 วัน จะสังเกตเห็นการยกตัวของเนื้อเยื่อคอลลาเจนใหม่ที่ขึ้นมาช่วยลดเลือนแผลเป็นหลุมสิวความไม่เรียบเนียนของผิว
คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม
" การรักษารอยแผลเป็น'หลุมสิว' เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ทางการแพทย์ เป็นหนึ่งในการรักษาที่หมอมีความถนัดชำนาญ และชอบเป็นการส่วนตัวค่ะ เนื่องจากหมอก็เป็นคนที่มีปัญหาหลุมสิวด้วยเหมือนกัน หมอจึงศึกษาและติดตามอัพเดทการรักษาหลุมสิวมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนเรียนแพทย์ทั่วไป เรียนแพทย์ต่อยอดด้านผิวหนัง มาจนถึงปัจจุบัน
โดยเทคนิคเฉพาะตัวที่หมอถนัดและเชี่ยวชาญและเชื่อมั่นในผลลัพธ์ที่สุด จะเป็นกลุ่มการรักษาด้วยหัตถการเน้นมือแพทย์เป็นหลัก (Non-Energy Based Scar Revision) และใช้เลเซอร์เป็นเพียงส่วนเสริมเก็บรายละเอียดเท่านั้น
เทคนิควิธีของหมอในการรักษาแผลเป็นหลุมสิวนั้นเป็นแบบเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร อาศัยทักษะความสามารถ เทคนิคขั้นสูงในการทำหัตถการการรักษาหลุมสิว เป็นงานฝีมือแพทย์ที่ต้องใช้ความชำนาญและความละเอียดเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก และต้องเข้าใจเรื่องหลุมสิวอย่างถ่องแท้ รู้ว่าวิธีการรักษาหลุมสิวประเภทนี้ มีวิธีใดใช้รักษาได้บ้าง และนำมาปรับใช้กับคนไข้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดโดยเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด