Subcision (การตัดพังผืด รักษาหลุมสิว) เพียงพอแล้วหรือไม่ ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า มีวิธีไหนอีกบ้าง?

Last updated: 17 ธ.ค. 2567  |  3458 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Subcision (การตัดพังผืด รักษาหลุมสิว) เพียงพอแล้วหรือไม่ ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า มีวิธีไหนอีกบ้าง?

การตัดพังผืดใต้หลุมสิว (subcision) สามารถช่วยให้หลุมสิวดีขึ้นได้ทันทีบางส่วน เนื่องจากการตัดพังผืดจะทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังมีการฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อเติมเต็มหลุมสิว
การตัดพังผืดใต้หลุมสิว (subcision) สามารถทำได้โดยใช้เข็มทู่ (blunt needle) หรือเข็มคม (sharp needle) ทั้งสองวิธีมีข้อดีและข้อเสียของตนเอง การเลือกใช้เข็มชนิดใดขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ผิวหนังและสภาพผิวของผู้ป่วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมก่อนการรักษา

ทั้งสองวิธีมีความแตกต่างกันดังนี้:
1. เข็มทู่ (Blunt Needle):
   - ข้อดี: เข็มทู่มีโอกาสน้อยที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเลือดออกใต้ผิวหนัง เนื่องจากปลายเข็มไม่แหลมคม ทำให้สามารถตัดพังผืดได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบๆ มากเกินไป
   - ข้อเสีย: อาจใช้เวลานานกว่าและอาจจะไม่เหมาะสำหรับพังผืดที่แข็งแรงมากๆ

2. เข็มคม (Sharp Needle):
   - ข้อดี: เข็มคมสามารถตัดพังผืดที่แข็งแรงได้ง่ายและรวดเร็ว เนื่องจากปลายเข็มแหลมคมและสามารถเจาะผ่านพังผืดได้ง่าย
   - ข้อเสีย: มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเลือดออกใต้ผิวหนังมากกว่า และอาจทำให้เกิดแผลเป็นหรือติดเชื้อได้ถ้าไม่ทำอย่างระมัดระวัง

การตัดพังผืดรักษาหลุมสิว: ศาสตร์ ศิลป์ และสิ่งที่คุณควรรู้ในปัจจุบัน การตัดพังผืด (Subcision) กลายเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการรักษาหลุมสิว หลายคลินิกมักโปรโมทว่าการตัดพังผืดสามารถแก้ปัญหาหลุมสิวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ว่าสามารถตัดลึกทั่วทุกชั้น ทุกอณู เพื่อขจัดพังผืดทั้งหมด แต่ในความเป็นจริง การตัดพังผืดเป็นมากกว่าการใช้เข็มกรีดผิว มันคือศาสตร์และศิลป์ที่ต้องการ ความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด ศาสตร์และศิลป์ของการตัดพังผืดการตัดพังผืดไม่ใช่เพียงแค่การใช้เครื่องมือหรือเทคนิคตามตำราเท่านั้น แต่ต้องอาศัยการประเมินที่แม่นยำและความเข้าใจโครงสร้างผิวหนังในแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญที่พัฒนาได้จากประสบการณ์และฝีมือของแพทย์

ที่สำคัญ การตัดพังผืดในทุกชั้นอย่างไร้ทิศทาง โดยไม่คำนึงถึงเส้นเอ็นหรือโครงสร้างผิวที่ช่วยพยุงใบหน้า อาจทำให้เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อยในอนาคต ดังนั้นการตัดพังผืดต้องอาศัย ศาสตร์และศิลป์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งด้านความรู้ ประสบการณ์ และการควบคุมทิศทางที่แม่นยำ

ความเสี่ยงและข้อควรระวัง

  • การเกิดพังผืดใหม่ที่แน่นกว่าเดิมหากทำโดยขาดความชำนาญ หรือมีการตัดที่ลึกและกว้างเกินไป พังผืดใหม่อาจเกิดขึ้นและดึงรั้งผิวมากกว่าเดิม
  • ห้อเลือดและการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อการตัดพังผืดด้วยเข็มคมหรือใบมีด อาจทำให้เกิดห้อเลือดหรือบาดแผลที่สร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง
  • ปัญหาผิวหย่อนคล้อยหากเข็มไปตัดในบริเวณที่มีเส้นเอ็นหรือโครงสร้างที่ช่วยพยุงผิว อาจทำให้ผิวหย่อนคล้อยมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยอยู่แล้ว

การตัดพังผืดที่ดีมีปัจจัยสำคัญดังนี้:

  • การประเมินโครงสร้างพังผืดและหลุมสิวเฉพาะบุคคลหลุมสิวแต่ละประเภท เช่น Rolling Scar, Boxcar Scar หรือ Ice Pick Scar มีโครงสร้างพังผืดที่แตกต่างกัน การประเมินว่าควรตัดในระดับไหนและอย่างไรเป็นหัวใจสำคัญของผลลัพธ์พังผืดในชั้นผิวมีการเรียงตัวซับซ้อนและทำหน้าที่เป็นโครงสร้างรองรับผิว หากตัดผิดจุดหรือมากเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวหย่อนคล้อยหรือหลุมที่แย่ลง
  • การควบคุมแรงและทิศทางของการตัดพังผืดการใช้เข็มกรีดหรือเข็มทู่เพื่อแยกพังผืด ต้องการความแม่นยำสูงในการควบคุมแรงและทิศทางการตัด เพราะการลงน้ำหนักที่มากเกินไปอาจสร้างบาดแผลลึกและความเสียหายต่อเนื้อเยื่อโดยรอบการตัดในทิศทางที่เหมาะสม (Directional Subcision) ยังช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและลดโอกาสการเกิดพังผืดใหม่
  • การผสมผสานเทคนิคต่าง ๆแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญมักจะไม่ใช้เพียงแค่การตัดพังผืด แต่จะผสานเทคนิคอื่น เช่น การฉีดฟิลเลอร์, การเติม Exosome หรือ Bio-Stimulator เข้าไปในจุดที่เคยมีพังผืดดึงรั้ง เพื่อป้องกันการเกิดพังผืดใหม่และช่วยให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

ในปัจจุบัน การตัดพังผืด (Subcision) กลายเป็นคำตอบยอดนิยมสำหรับการรักษาหลุมสิว หลายคนมองว่าการตัดพังผืดเพียงอย่างเดียวจะช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวได้อย่างถาวร แต่ในความเป็นจริง นั่นเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น
การตัดพังผืด: แค่เริ่มต้น แต่ยังไม่เพียงพอ
การตัดพังผืดช่วยปลดพันธนาการของพังผืดที่ดึงรั้งผิวเอาไว้ให้หลุดออก หลุมสิวที่เคยลึกก็อาจดูตื้นขึ้นได้ในทันที แต่หากไม่มีการเสริมการฟื้นฟูโครงสร้างผิวหลังการตัดพังผืด ผลลัพธ์อาจอยู่ได้ไม่นาน เพราะพังผืดใหม่สามารถกลับมาก่อตัวได้ และอาจแน่นกว่าเดิม

ที่ Realclinic เราเชื่อมั่นว่าการรักษาหลุมสิวที่ได้ผลลัพธ์อย่างแท้จริงต้องครอบคลุมทั้งการตัดพังผืดเพื่อปลดล็อกการดึงรั้งของหลุมสิว และการเสริมคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียนอย่างยั่งยืน ซึ่งสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญของ Real Scar Synergy โปรแกรมที่เราออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาหลุมสิวอย่างครอบคลุม

อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้อาจไม่เพียงพอ ในบางกรณีที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและเห็นผลไว อาจต้องการการเสริมเติมเพิ่มเติมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่น:

  1. การเติมฟิลเลอร์ (Dermal Fillers): ฟิลเลอร์สามารถช่วยเติมเต็มช่องว่างใต้ผิวหนังที่เกิดขึ้นหลังจากการตัดพังผืด แม้เราจะตัดพังผืดไปแล้ว แต่ด้านใต้เป็นช่องว่าง ใบหน้าก็จะไม่ฟูเต็มที่ก็ยังคงเห็นเป็นหลุมอยู่ดี  ฟิลเลอร์จึงมามีส่วนช่วยให้ผิวดูฟูเรียบเนียนขึ้น และยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย 
  2. การใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนร่วมกับการตัดพังผืด (subcision) เป็นวิธีที่เรียกว่า คาร์บ็อกซีเทอราพี (Carboxytherapy)
  3. การทำเลเซอร์ (Laser Treatment): การทำเลเซอร์สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับปรุงสภาพผิว ช่วยลดรอยหลุมสิวและทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
  4. การทำไมโครนีดลิง (Microneedling): วิธีนี้ใช้เข็มเล็กๆ แทงผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอิลาสติน ช่วยฟื้นฟูผิวและลดรอยหลุมสิว
  5. การใช้เซรั่มช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน:** การใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน สามารถช่วยเสริมการรักษาและให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในระยะยาว

1. การใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนร่วมกับการตัดพังผืด (subcision) เป็นวิธีที่เรียกว่า **คาร์บ็อกซีเทอราพี (Carboxytherapy)** วิธีนี้มีการใช้ก๊าซ CO₂ ฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและปรับปรุงสภาพผิว

ประโยชน์ของการใช้ CO₂ 

  1. กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด: ก๊าซ CO₂ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณที่ฉีด ทำให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวหนัง
  2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: การใช้ CO₂ ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวหนังแข็งแรงและยืดหยุ่นขึ้น ลดรอยหลุมสิวและทำให้ผิวเรียบเนียน
  3. ลดการอักเสบ: ก๊าซ CO₂ มีคุณสมบัติลดการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการบวมแดงและช่วยให้ผิวหนังฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังการตัดพังผืด
  4. เพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา: การใช้ CO₂ ร่วมกับการตัดพังผืดสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา โดยทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น

ข้อควรรู้
1. **ผลข้างเคียง:** การใช้ CO₂ อาจมีผลข้างเคียงเช่น อาการบวม แดง หรือรู้สึกไม่สบายบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมงหรือวัน
2. **ความปลอดภัย:** ควรทำการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการใช้ CO₂ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
3. **การตอบสนองของผิวแต่ละคนแตกต่างกัน:** ผลลัพธ์ของการใช้ CO₂ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการตอบสนองของร่างกาย
การใช้ CO₂ ร่วมกับการตัดพังผืดสามารถเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาหลุมสิว ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ

2. การเติมเต็มหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ (dermal filler) เป็นวิธีการใช้สารเติมเต็ม เช่น ไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปในบริเวณหลุมสิว เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกายได้ แต่ไม่ใช่หลักการหลักของการทำงานของฟิลเลอร์ กระบวนการหลักของฟิลเลอร์คือการเติมเต็มพื้นที่ว่างใต้ผิวหนังที่เป็นหลุมสิวทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นทันที
หลักการทำงานของฟิลเลอร์

  1. เติมเต็มพื้นที่ว่าง: เมื่อฟิลเลอร์ถูกฉีดเข้าไปในบริเวณที่เป็นหลุมสิว มันจะเติมเต็มพื้นที่ว่างใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังยกขึ้นและดูเรียบเนียน
  2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน : การฉีดฟิลเลอร์บางชนิด เช่น ฟิลเลอร์ที่มีส่วนประกอบของแคลเซียมไฮดรอกซิอะพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite) มีผลกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ร่างกายจะตอบสนองต่อสารที่ฉีดเข้าไปโดยการสร้างคอลลาเจนใหม่ๆ รอบๆ บริเวณที่ถูกฉีด
กระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • การอักเสบเล็กน้อย**: การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในผิวหนังจะทำให้เกิดการอักเสบเล็กน้อย ซึ่งกระบวนการนี้จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในร่างกาย
  • การฟื้นฟูของผิว**: เมื่อฟิลเลอร์ถูกฉีดเข้าไป ร่างกายจะเริ่มกระบวนการฟื้นฟูผิว ทำให้มีการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ผิวแข็งแรงและเรียบเนียนขึ้น

มีข้อดีและข้อจำกัดดังนี้

  1. ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน: หลังการฉีดฟิลเลอร์ ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันที ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  2. เวลาในการรักษาสั้น: การฉีดฟิลเลอร์ใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่ไม่เกิน 30 นาที
  3. ไม่มีเวลาพักฟื้น: หลังการฉีดฟิลเลอร์สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันท
  4. ความปลอดภัยสูง: ไฮยาลูรอนิคแอซิดเป็นสารที่ร่างกายสามารถย่อยสลายได้ ทำให้มีความเสี่ยงต่ออาการแพ้หรือติดเชื้อต่ำ
การใช้ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับหลุมสิวแบบใด
  • Boxcar scars**: หลุมสิวรูปสี่เหลี่ยมขอบชัด
  • Rolling scars**: หลุมสิวที่มีลักษณะเป็นลูกคลื่น 

สรุป
แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะไม่ใช่กระบวนการหลักในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่ก็สามารถมีผลกระตุ้นได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ การเลือกฟิลเลอร์และการฉีดควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด

3. การใช้ Sculptra ร่วมกับการรักษาหลุมสิว เป็นสารเติมเต็มผิวหนังที่ใช้สาร Poly-L-lactic acid (PLLA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง การใช้ Sculptra ร่วมกับการตัดพังผืด (subcision) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว โดยเฉพาะหลุมสิวที่ลึกและยากที่จะรักษา

ประโยชน์ของการใช้ Sculptra 

  1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: Sculptra ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวหนังอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลุมสิวค่อยๆ ตื้นขึ้นและผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้นในระยะยาว
  2. ผลลัพธ์ที่ยาวนาน: ผลลัพธ์ของ Sculptra มักจะคงอยู่ได้นานหลายปี เนื่องจากกระบวนการสร้างคอลลาเจนจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องหลังการฉีด
  3. เติมเต็มหลุมสิว: การใช้ Sculptra ร่วมกับการตัดพังผืดช่วยเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากการตัดพังผืด ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

ข้อควรรู้

  • จำนวนครั้งในการรักษา: การฉีด Sculptra มักต้องทำหลายครั้ง (2-4 ครั้ง) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยแต่ละครั้งควรเว้นระยะห่างประมาณ 4-6 สัปดาห์
  • ความปลอดภัย: ควรทำการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
  • การใช้ Sculptra ร่วมกับการตัดพังผืดสามารถเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับหลุมสิว ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ

4. การใช้ Exosome ร่วมกับการรักษาหลุมสิว เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจในวงการความงามและการฟื้นฟูผิว Exosome เป็นอนุภาคเล็กๆ ที่เซลล์ต่างๆ ในร่างกายปล่อยออกมาเพื่อสื่อสารกัน พวกมันมีบทบาทสำคัญในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ และมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการฟื้นฟูและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ

ประโยชน์ของการใช้ Exosome 

  1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน: Exosome สามารถส่งสัญญาณให้เซลล์ผิวผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินเพิ่มขึ้น ช่วยเติมเต็มหลุมสิวและปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิว
  2. ฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ: Exosome มีความสามารถในการกระตุ้นการฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นและปรับปรุงสภาพผิว
  3. ลดการอักเสบ: Exosome มีคุณสมบัติลดการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการบวมแดงและทำให้ผิวสงบลง

สรุป

การตัดพังผืดใต้หลุมสิวสามารถช่วยปรับปรุงสภาพหลุมสิวได้ดีในระดับหนึ่ง แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น การเติมฟิลเลอร์หรือการรักษาเพิ่มเติมอื่นๆ ก็นับว่าจำเป็นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของแพทย์แต่ละบุคคลในการทำ

*** แม้ใช้อุปกรณ์,ตัวยา,วิธีการรักษาเหมือนกัน แต่อยู่ในมือแพทย์ที่ต่างกัน ผลลัพธ์และความปลอดภัย ย่อมต่างกัน

Realclinic ทางเลือกของคนที่ต้องการแก้ปัญหาหลุมสิวอย่างมั่นใจ
หากคุณกำลังมองหาวิธีรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน และได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจปัญหาผิวหน้าอย่างแท้จริง Realclinic คือคำตอบของคุณ เราพร้อมช่วยคุณฟื้นฟูความมั่นใจและปรับผิวให้เรียบเนียนอีกครั้ง ด้วยเทคนิคเฉพาะ และทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ

โปรแกรมเด่นที่ Realclinic สำหรับหลุมสิว: Real Scar Synergy และ Juvgen
ฟิลเลอร์หลุมสิว ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว fillerหลุมสิว เติมเต็มหลุมสิว ดรจินหลุมสิว หลุมสิวเกาหลี 1. Real Scar Synergy: โปรแกรมผสานเทคนิคที่ตอบโจทย์ทุกประเภทหลุมสิว
คือ โปรแกรมรักษาหลุมสิวที่ออกแบบขึ้นโดย Dr.Ramita ซึ่งเน้นการรักษาโดยวิธีหัตถการแพทย์เป็นหลัก (Non-Energy Based Acne Scar Revision) ด้วยเทคนิคเฉพาะของ Dr.Ramita ผสมผสานหลายวิธีมาตรฐานที่มีงานวิจัยรองรับ เสริมด้วยเทคนิคพิเศษที่คุณหมอศึกษาเพิ่มเติมจากอาจารย์แพทย์ชาวเกาหลี คือการฉีดสารฟื้นฟูเติมเต็มร่วมกับฉีดก๊าซเข้าไปตัดพังผืดและไปกระตุ้นเนื้อเยื่อคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้เกิด Skin Regeneration ฟื้นฟูหลุมสิวด้วยคอลลาเจนของตัวเราเอง เพิ่มเติมด้วยสารฟื้นบำรุงช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว เพื่อเสริมประสิทธิภาพการรักษาให้เห็นผลเร็วยิ่งขึ้น ลดการบวมช้ำ ไม่ต้องพักหน้า
คลิก อ่านข้อมูลเพิ่มเติม

ฟิลเลอร์หลุมสิว ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว fillerหลุมสิว เติมเต็มหลุมสิว ดรจินหลุมสิว หลุมสิวเกาหลี 2. Juvgen คือการรักษาหลุมสิวที่ คุณหมอรมิตา ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจาก Dr. Jin Se-hun (ดร.จิน รักษาหลุมสิวเกาหลี) ศัลยแพทย์ตกแต่งชื่อดังชาวเกาหลี เทคนิคนี้มุ่งเน้นการกระตุ้นคอลลาเจนการ ฟื้นฟูผิวหนังด้วยตัวเอง โดยใช้การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิกอนุภาคเล็ก (Hyaluronic Acid) เข้าสู่ชั้นหนังแท้บริเวณที่มีปัญหา เช่น หลุมสิว ริ้วรอยร่องลึก หรือแผลเป็นเนื้อผิวยุบตัว กระบวนการนี้จะช่วยสร้างเนื้อเยื่อผิวคอลลาเจนในปริมาณมากให้ขึ้นมามาทดแทนผิวหนังที่เคยยุบเป็นหลุม ให้สามารถฟูตัวขึ้นมา ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ เนื้อเยื่อใหม่ โดยไม่ทำลายโครงสร้างผิวหนัง หลังการรักษาประมาณ 3-5 วัน จะสังเกตเห็นการยกตัวของเนื้อเยื่อคอลลาเจนใหม่ที่ขึ้นมาช่วยลดเลือนแผลเป็นหลุมสิวความไม่เรียบเนียนของผิว 
คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม

" การรักษารอยแผลเป็น'หลุมสิว' เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ทางการแพทย์ เป็นหนึ่งในการรักษาที่หมอมีความถนัดชำนาญ และชอบเป็นการส่วนตัวค่ะ เนื่องจากหมอก็เป็นคนที่มีปัญหาหลุมสิวด้วยเหมือนกัน หมอจึงศึกษาและติดตามอัพเดทการรักษาหลุมสิวมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนเรียนแพทย์ทั่วไป เรียนแพทย์ต่อยอดด้านผิวหนัง มาจนถึงปัจจุบัน 

โดยเทคนิคเฉพาะตัวที่หมอถนัดและเชี่ยวชาญและเชื่อมั่นในผลลัพธ์ที่สุด จะเป็นกลุ่มการรักษาด้วยหัตถการเน้นมือแพทย์เป็นหลัก (Non-Energy Based Scar Revision) และใช้เลเซอร์เป็นเพียงส่วนเสริมเก็บรายละเอียดเท่านั้น

เทคนิควิธีของหมอในการรักษาแผลเป็นหลุมสิวนั้นเป็นแบบเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร อาศัยทักษะความสามารถ เทคนิคขั้นสูงในการทำหัตถการการรักษาหลุมสิว เป็นงานฝีมือแพทย์ที่ต้องใช้ความชำนาญและความละเอียดเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก และต้องเข้าใจเรื่องหลุมสิวอย่างถ่องแท้ รู้ว่าวิธีการรักษาหลุมสิวประเภทนี้ มีวิธีใดใช้รักษาได้บ้าง และนำมาปรับใช้กับคนไข้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดโดยเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้